อันที่จริงแล้วเทพเจ้าแห่งโชคลาภของจีน มีหลายองค์ แต่ที่ชาวจีนนิยมนับถือบูชากราบไหว้เป็นประจำ มีอยู่ 3 องค์ คือ เทพตามความเชื่่อของลัทธิเต๋า ได้แก่
- ภาคบุ๋น (ปี่กาน)
- ภาคบู้ (เจ้ากงหมิน)
ส่วนอีกภาคหนึ่งนั้น จะเป็นความเชื่อตามพุทธศาสนานิกายมหายาน คือ - ภาคเจ้าสัวอันมีพระนามว่า ท้าวชัมภล (หนึ่งในสี่ท้าวจตุโลกบาล) ในที่นี้ไม่ได้กล่าวถึง
ประวัติความเป็นมาของไฉ่ซิงเอี้ย นั้นมีอยู่ด้วยกันหลายตำนาน แต่ที่แพร่หลายและเป็นที่รู้จักคือ
ว่ากัน ว่าปี่กานเคยเป็นเทพที่อยู่บนสรวงสรรค์ ที่ได้จุติลงมาเกิดเป็นมนุษย์รับราชการเป็นอัครมหาเสนาบดีของพระเจ้าอินโจ้ว (กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์อิน) พระองค์เป็นจักรพรรดิที่ลุ่มหลงในสุรา นารีไม่ใส่ใจราชกิจ ทรงมีสนมเอกนางหนึ่งนาม โซวถังกี้ (ซูต๋าจี่) ที่เป็นหญิงงามที่ลือชื่อในประวัติศาสตร์ ปี่กานเป็นขุนนางผู้ซื่อตรง พยายามจะเตือนองค์จักรพรรดิให้หันมาสนใจราชกิจ แต่พระองค์ไม่สนพระทัยต่อคำเตือน ปี่กานจึงวางแผนให้ทหารไปจับสุนัขจิ้งจอกมาทำเสื้อคลุมถวายแด่องค์จักรพรรดิ เพราะเชื่อว่า ถังกี้ (ต๋าจี่) เป็นปีศาจจิ้งจอก เมื่อพบเห็นเสื้อคลุมก็จะตกใจและหนีไป แต่เหตุการณ์กลับตรงกันข้าม เพราะถังกี้ไม่ตกใจ และยังวางแผนเล่นงานปี่กานกลับอีกด้วยเทพเจ้าไฉ่ซิ้งเอี้ย เทพเจ้าจีน
เย็นวันหนึ่ง ปี่กานได้ยินเสียงคนร้องขายของอยู่หน้าบ้าน ว่า “ขายหัวใจๆ” ก็แปลกใจ จึงออกไปดู พบเห็นคนแก่ยืนอยู่หน้าบ้านของตน จึงถามว่า “ท่านผู้อาวุโส จะขายหัวใจจริงหรือนี่” ชายชราก็ตอบว่า “ขายจริงๆ นายท่านสนใจซื้อหาหรือไม่” ปี่กาน จึงแย้งไปว่า “หัวใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของร่างกาย ถ้านำมันออกมาแล้ว ทุกคนต้องตาย ท่านยังคิดที่จะขายหัวใจอยู่อีกหรือหาไม่” ชายชรากล่าวว่า “หัวใจเป็นต้นเหตุของความรู้สึกผิดชอบชั่วดี หากหัวใจไม่เที่ยงธรรม มือเท้าย่อมทำแต่สิ่งไม่ดี ถ้าเอาหัวใจออกมาขายเสีย ต่อไปข้าพเจ้าก็จะไม่เลือกที่รักมักที่ชัง มีแต่ความยุติธรรม จัดการปัญหาต่างๆ อย่างยุติธรรม เป็นเช่นนี้มิใช่ประเสริฐกว่าหรือ” ปี่กานยืนยันว่า “แต่หัวใจเป็นอวัยวะสำคัญมาก มีเพียงหนึ่งเดียว เมื่อขายแล้วท่านจะมีชีวิตสืบต่อไปได้อย่างไร” “ได้แน่นอน เนื่องจากข้าพเจ้ามียาวิเศษอยู่เม็ดหนึ่ง เมื่อกินเข้าไปแล้วถึงแม้ไม่มีหัวใจ แต่อวัยวะอื่นๆ ของร่างกายจะยังสามารถทำงานสืบไปได้เช่นเดิม” “งั้นขอให้ข้าพเจ้าได้ชมยาวิเศษสักนิดได้หรือไม่” ชายแก่จึงส่งมอบยาวิเศษเม็ดนั้นให้แก่ปี่กาน เมื่อเขานำมาดมดูก็รู้สึกหอมอย่างประหลาด รู้สึกมีพลังวิ่งไปทั่วร่างกาย แต่พอเงยหน้าขึ้นมากลับไม่พอชายชราผู้นั้นเสียแล้ว (ที่แท้แล้วชายชราผู้นั้นคือเจียงไท้กง เทพผู้มีหน้าที่แต่งตั้งเทพเจ้า แปลงกายลงมานั่นเอง เพราะขณะท่านทราบด้วยจิตญาณขณะกำลังนั่งบำเพ็ญตบะอยู่ว่า เทพปี่กานกำลังมีเรื่องเดือดร้อนถึงชีวิต จึงแปลงกายลงมาเพื่อช่วยเหลือนั่นเอง)
เช้าวันรุ่งขึ้น องครักษ์หลายนายได้มาเชิญตัวปี่กานไปเข้าเฝ้าแต่เช้า ปี่กานรู้สึกแปลกใจ จึงไถ่ถามเหล่าองครักษ์ จึงทราบว่า พระสนมถังกี้ เป็นโรคประหลาด หมอหลวงอับจนปัญญาที่จะรักษาได้ มีแต่หัวใจของปี่กานเท่านั้นที่จะสามารถใช้รักษาโรคนี้ได้ จักรพรรดิอินโจ้วกำลังหลงพระสนมถังกี้มาก ทรงตรัสว่า “เจ้าเป็นพระสนมเอกแห่งเรา ส่วนปี่กาน เป็นแค่ขุนนางอันต่ำต้อย ชีวิตใครจักมีค่ามากกว่ากัน เรารู้ดี ดังนั้นขอเพียงรักษาอาการป่วยของเจ้าได้เท่านั้น อย่าว่าแต่ชีวิตของขุนนางผู้เดียวเลย ต่อให้ต้องฆ่าขุนนางสัก 100 คน เราก็เต็มใจ” ดังนั้นพระองค์จึงมีรับสั่งให้เบิกตัวปี่กานมาเข้าเฝ้าแต่เช้า หลังจากปี่กานทราบเรื่องก็ตกใจเป็นอันมาก เรียกหาคนในครอบครัวมาสั่งเสีย ทันใดนั้นเขานึกถึงยาวิเศษที่ได้รับมาจากชายชรา จึงรีบไปหยิบยาวิเศษเม็ดนั้นออกมากลืนกินลง แล้วตามเหล่าองครักษ์เพื่อเข้าเฝ้า
พอมา ถึงท้องพระโรง จักรพรรดิอินโจ้วก็ตรัสขอหัวใจของปี่กานเพื่อนำไปใช้รักษาอาการป่วยของพระ สนมถังกี้ ปี่กานจึงทูลว่า “พระองค์รับสั่งให้ขุนนางตาย ขันนางผู้นั้นก็มิอาจมีชีวิตสืบไป แต่ก่อนที่กระหม่อมขอกราบทูลเตือนพระองค์เป็นครั้งสุดท้ายว่า พระองค์กำลังลุ่มหลงนางปีศาจ แลกำลังตกอยู่ภายใต้อำนาจของมัน หลังจากที่พระองค์ทรงประหารกระหม่อมแล้ว ราชวงศ์ของพระองค์ที่ดำลงคงอยู่มาถึง 28 รัชกาล ก็จะถึงกาลอวสานแล้ว” แต่อนิจจา องค์จักรพรรดิหาได้ใส่พระทัยต่อคำเตือนของปี่กานไม่ กลับรับสั่งให้ทหารควักหัวใจของปี่กานออกมา แต่ ปี่กาน ห้ามเหล่าทหารเอาไว้ และกล่าวว่า “พวกเจ้านั้นหาจำเป็นไม่ ขอเพียงมีมีดสั้นให้กับข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะกระทำการสืบไปเอง” กล่าวจบ ปี่กานก็ใช้มีดแหวะอก และควักหัวใจออกมา โยนหัวใจนั้นทิ้งไว้กับพื้น แล้วเดินออกจากพระราชวังโดยไม่พูดอะไร แต่ที่มหัศจรรย์คือตลอดการกระทำของปี่กานนี้ หามีเลือดออกมาไม่
ตั้งแต่ นั้นมา ปี่กานก็ออกท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ เขาโปรยเงินทองแจกจ่ายแก่ผู้คนไปทั่ว ตามตำนานกล่าวกันว่า การที่ปี่กานกินยาวิเศษของเจียงไท้กงเข้าไป ทำให้เขามีชีวิตอยู่เป็นอมตะ และกล่าวกันว่า เพราะปี่กานไม่มีหัวใจนี่เอง เขาจึงโปรยเงินโปรยทองแก่ผู้คนทั่วไป โดยไม่เลือกว่าคนนั้นดีหรือคนนี้ไม่ดี เลือกที่รักมักที่ชัง ความทราบถึงองค์เง็กเซียนจึงได้ให้เจียงไท้กงประกาศราชโองการแต่งตั้งให้ปี่ กานเป็นของเทพเจ้าแห่งโชคลาภหรือไฉ่ซิงเอี๊ยองค์บุ๋น นั่นเอง
ลักษณะของไฉ่ซิ้งเอี้ยปางบุ๋น
- ปี่การสวมชุดขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของจีนโบราญ สวมหมวกมีปีกออกไป 2 ข้างคล้ายๆ ครบเครื่องทั้งเสื้อนอกเสื้อใน มือซ้ายถือก้อนทอง (หยวนเปา) มือขวามักจะถือแผ่นผ้าจารึกอักษรเป็นอักษรมงคล หรือคำอวยพรที่เป็นสิริมงคลแก่ผู้บูชา
เทพเจ้าไฉ่ซิ้งเอี้ย เทพเจ้าโชคลาค เทพเจ้าจีน
อานุภาพของปางบุ๋น
-ไฉ่ซิงเอี๊ยสามารถดลบันดาล หรือช่วยเหลือให้ผู้ที่บูชามีโชคมีลาภ ตลอดจนมีความมั่งคั่งร่ำรวย โชคลาภที่ได้นอกเหนือจากรายได้ที่ไม่ใช่รายได้ประจำ (เงินเดือนหรือเงินค้าขายตามปกติ) ตลอดจนโชคลาภต่างๆ ทำให้ผู้บูชาประสบความสำเร็จ ลูกค้าเชื่อถือ เปรียบดังนักการฑูตที่ดีมีความสามารถในการเจรจาโน้มน้าวให้ต่างชาติต่างภาษา มีความเชื่อถือในประเทศของตน และเช่นเดียวกับทำให้ลูกค้าเชื่อถือในคุณภาพสินค้าและบริการกลายเป็นลูกค้า ประจำ
ผู้ที่ควรบูชาเป็นพิเศษคือ นักการฑูต , นายหน้า ,คนค้าขาย ที่ต้องอาศัยวาจาหว่านล้อม เจรจาให้น่านับถือ
ไฉ่ซิ้งเอี้ยตามลัทธิเต๋าคือเทพชั้นสูงองค์หนึ่ง (เครื่องที่นำไปเซ่นไหว้จะ ต้องเป็นของเจทั้งหมด) ที่ชาวจีนนิยมมีไว้ประจำบ้านและบูชาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อขอความร่ำรวย มีโชคมีลาภ ความมั่งคั่ง และสิริมงคลต่างๆ ให้แก่ตนและครอบครัว รวมถึงเป็นเทพเจ้าองค์แรก ที่ชาวจีนโดยเฉพาะผู้ที่ประกอบธุรกิจการค้า ต้องไหว้ในวันขึ้นปีใหม่ของทุกปี โดยฤกษ์มักจะเริ่มตั่งแต่ 5 ทุ่มของวันสิ้นปี (วันไหว้บรรพบุรุษและผีไม่มีญาติ) เรื่อยไปจนถึง 3.00 น.ของเช้าวันใหม่ (วันชิวอิก) เพราะตามหลักโหราศาสตร์จีนหลัง 23.00 น.ถือเป็นการเริ่มก้าวสู่วันใหม่ ในเวลาและทิศที่แตกต่างกันไปทุกปี (เหตุที่ต้องเปลี่ยนเพราะว่าต้องหาดู ฤกษ์ยามที่ดีที่สุด เพื่อในช่วงที่ฟ้าเปิดและมีเวลาที่เป็นมิตรกับเวลาไหว้ เพื่อที่ทำอะไรจะได้มีแต่ผู้อุปถัมภ์ค้ำชู ) นอกจากนี้ยังนิยมไหว้อีก 2 วันคือ วันขึ้น 2 ค่ำ เดือนอ้าย และวันที่ 22 เดือน 7 ตามปฏิทินจีนของทุกปี เหตุที่ต้องไหว้ 2 ครั้ง ก็เพราะว่า เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ย มี 2 องค์ คือ ไฉ่ซิงเอี๊ยบู๊ และ ไฉ่ซิงเอี๊ยบุ๋น